วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความสุข. .......ธรรมดา ธรรมดา




 มันจะมีอะไรที่ดีไปกว่า.... ความสุข ธรรมดา ธรรมดา



         การมีชีวิตอยู่ในทุก ทุกวัน  เคยถามตัวเองหลายครั้งว่า  ความสุขที่ตัวเองต้องการคืออะไร  และด้วยความโชคดี ที่ชีวิตได้เลือกทุกอย่าง ได้ด้วยตัวเอง  ความสุขที่ค้นพบ จึงเป็นความที่ยั่งยืน  ยาวนาน มั่นคง และพอดี   

Photo Gallery by QuickGallery.com




       เคยอยากมีชีวิต ที่ดีกว่านี้   เคยอยากได้หลายอย่างมากกว่าที่มีอยู่  แต่ก็พบแล้วว่า มันคือของที่ไม่ได้อยากได้จริง  ไม่มีอยู่จริง  เหมือนเราหลับตา ต้องการจะคว้าอะไรก็ไม่รู้ในความมืด คว้าในสิ่งที่มันไม่ยั่งยืนเลย  สังคมทำให้ความคิดและจิตใจไขว้เขว  ไปบ้าง  ความจริงจะโทษสังคมก็ไม่ถูกซะทีเดียว  ต้องโทษ ตา หู ใจ ของตัวเอง ที่ไปมอง แล้วคิด เปรียบเทียบ หลายคนบอกว่า facebook ทำให้คนเปลี่ยนไป   มันก็จริงนะ แต่กู๋กิตพูดว่า  facebook ก็คือ การแสดง ที่อยากให้คนทั้งโลกรู้ พูดง่ายๆ คือปมด้อยของคน  ปากกู๋ไม่เคยปราณีใครจริง ตรง ต่อเนื่อง ไม่ต้องแปล  

    เวลาผ่านมาค่อนชีวิตแล้ว  ยังดีใจที่รู้จักความสุขแท้ๆของตัวเองแล้ว  เลยไม่รู้จะไปมองของปลอมทำไม เพราะเรามีความสุขแท้ๆหมดแล้ว  เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เป้เดินเข้าครัว ได้ยินเสียงธรรมะ เลยเดินมามองหน้าแล้วถามว่า  มีอะไรกระทบจิตใจ ถึงได้ฟังธรรมะ  ค่อนข้างห่วงคนข้างกาย แต่อยากจะบอกเป้ว่า  ไม่แปลกนะ ธรรมะไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยน  แต่เสียงธรรมะที่พระท่านสอน  คือแปรงต่างหาก  มันช่วยแปรงใจ แปรงสิ่งที่คิดผิด  หลงทาง  ออกไป  ให้ใจพิจารณา  ให้ถ่องแท้ถึงความสุขจริง  ที่เป็น มี และอยู่ กับเรา   ใจหยาบมาจาก กายหยาบ  แปรงความหยาบออกไป มันก็เบาดี  





   
   อยากจะเขียนเรื่อง ที่ไปเที่ยวมา แต่มันยังไม่มีอารมณ์จะเขียนเลย  ชีวิต ตอนนี้ ดูวุ่นวาย คนเข้ามาในชีวิตเพิ่มขึ้นมาก จากปีก่อนๆ  จากการปิดกั้นสังคมของตัวเอง เลือกคนที่จะคุย จะสนิท กลายเป็น เข้ามามากมายเต็มไปหมด  คนที่รักกันอยู่ก็ดี คนที่กำลังจะรักก็ดี คนที่อยากจะเลิกรักก็มีไม่น้อย   

      คำพูดคำหนึ่งที่อ่านจากหนังสือสักเล่มมา   บอกว่า   หลักของชีวิต คือครอบครัว อย่ามั่วไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง  ถึงได้ทิ้งวาง โทรศัพท์ สังคมลงบ้าง   พบว่า การนั่งปักผ้า และทำหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของชีวิตในแต่ละวัน ทำให้เวลาที่มีคุ้มค่ามาก   เหนื่อยแต่อิ่มใจ   โชคดีเหลือเกินที่เป้ ไม่เคยว่าอะไรเลย  คำเล็ก คำน้อยไม่เคยว่า ให้เสียใจ  อยากได้อะไรก็ให้ อยากไปไหนก็พาไป  แม่ถึงกะออกปากว่า คนดี  เพราะแม่ชมคนไม่กี่คนหรอกในชีวิตแม่   แม่บอกว่า  ดูแลลูกให้ดีๆ  ร่ำรวยเงินทอง มีคนนับหน้าถือตา  แต่ลูกไม่ดีก็เสียใจไปทั้งชีวิต  ทุกข์ใจไปตลอด  จริงของแม่   จริงแท้แน่นอนที่สุด  เพราะฉะนั้น เวลาทุกนาทีถึงมีแต่หน้าที่ของแม่คน   เฌอเริ่มปล่อยพลังของมาให้เห็นบ้างแล้วว่าเธอรับในสิ่งที่สอน   ส่วนฌาน  ยังคงต้องอดทนต่อเนื่องยาวนาน  เพราะใจของฌานมีนิดเดียว  เส้นบางขาดง่าย ถ้าไม่รับ ไม่เข้าใจ  มั่นคงมาก ถ้าใส่ปุ๋ยที่ดี  มันยากเหลือเกินกับฌาน  ต้องให้เวลา มากกว่านี้ ต้องพยายามมากกกว่านี้  ดีที่เป้ใจเย็น  เวลาหาเงินทอง เที่ยวเล่นมีทั้งชีวิต แต่เวลาที่จะสอนลูก ให้เป็นคนดีรู้จักตัวเองเคารพใจตัวเอง และพอด้วยตัวเอง มันมีแค่ไม่กี่ปี  ก็เลยต้องตั้งใจและพยายามให้มาก  

    มีคนถามเยอะว่าสอนลูกยังไง  ก็สอนตามหลักพุทธศาสนา  ฟังนิทานสีขาว อยู่กับความจริงที่เป็น เราเป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้นนะ เวลาเอาลูกเสือไปฝากแมวเลี้ยง. ลูกเสือก็จะพยายามเป็นแมว แบบนั้นแหละ  

   ตอนนี้มีคนเข้ามาในชีวิตมากเหลือเกิน  สิ่งที่แย่คือ  เราเป็นคนขีดเส้นและก็ไม่ค่อยยินยอมให้ใครก้าวข้ามเส้นเข้ามา  เลยรู้สึกไม่ดี  ที่ทำเช่นนั้น  โลกส่วนตัวมันสูง และสูงมาก  อยากให้หลายคนเข้าใจ  เช่น ไม่ชอบให้คนเข้ามาวุ่นวายภายในบ้าน  แม้แต่แม่บ้านก็ไม่จ้าง  เลยต้องหาแม่บ้านรายวัน   คนที่เข้าออกได้มีแค่ ญาติสนิท เพื่อนที่สนิทมาก ก็มีแค่ น้องติ๊ก แจ๊ฟ ต่อ แหม่ม ดิวที่มาบ่อย นึกจะมาก็ขับรถมาหา เราไม่รู้สึกอะไรไม่รู้สึกว่า ถูกดึง หรือ อึดอัด   ไม่ชอบคุยโทรศัพท์  ขนาดแม่โทรมายังไม่ค่อยคุย ไม่ค่อยรับเลย  เพราะฉะนั้นคนอื่นไม่ต้องเสียใจที่โทรมาแล้วไม่รับสาย  คนที่คุยด้วยมีน้อยมาก ๆ  ทำยังไงถึงจะหายจากความรู้สึกแบบนี้ ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายเลยย  เห้อ ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น รุ่นวัยทอง นี่ช่างเข้าใจยากจริงๆ  เช้านี้เลยเปิดธรรมะ แปรงใจ แต่ก็ไม่เป็นผล  รู้สึกแย่ๆมาหลายวันแล้วปกติซื้อหม้อ ซื้อไห ถึงจะหาย ตอนนี้หม้อ ไห สารพัด ก็เต็มบ้านแล้ว ยังไม่หายอีกเหมือนเดิม 


 บัวเผื่อน

    

   








วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Camping



       ใครๆก็ชอบไปเที่ยวจริงๆนะ  เมื่อก่อนตอนท้องอ่อนๆ กลางๆ แก่ๆ คลอดมา 2 เดือน  3 เดือน 4 เดือน 5 เดือน 1 ขวบ  จนถึงตอนนี้ เฌอปาเข้าไป 8 ขวบ ฌานก็ 6 ขวบแล้ว ไม่เคยมีสักปี ที่จะไม่ได้กางเต้นท์   คือคนที่บอกว่า ลำบาก ลูกเล็ก  กลัวลูกป่วย  มันคือข้ออ้างอ่ะ  ออกไปอยู่บนดอย อากาศดีกว่าในเมือง ร้อยสามสิบแปดแสนแปดหมื่นล้านเท่า เห็นจะได้ อากาศเย็นก็เตรียมเสื้อผ้าให้พร้อม  เตรียมยาที่จำเป็นไป เตรียมเมนูอาหารไป ในกรณีที่ลูกเป็นแบบเฌอฌาน จริงๆไม่ต้องเตรียมเพราะบนดอยผักอร่อย สด จะแย่ ผลไม้เพียบไป ก็เลยยังมองไม่เห็นความยากลำบากที่จะพาลูกแค้มป์ปิ้ง สักกะครั้งเดียว

    ถามใจตัวเองดีกว่า ว่าใจไม๊ ที่จะพาไป ถ้าใจก็เก็บเป๋าไปเหอะ  เราไปกางเต้นท์ในที่บนดอยไม่ได้ไปกางที่สนามรบตะเข็บชายแดนที่เค้ายิงกันซะหน่อย   จริงๆแล้ว ออกไปแค้มป์ปิ้งเนี่ย ไปแบบสบายๆ อย่าไปกะเกณฑ์ ว่าจะต้องไปให้ครบ เสียเวลามาแล้ว เมื่อก่อนเค้าก็คิดแบบนั้น โอ้ยย ขอบอกว่าเหนื่อยมาก  ถ้าไปแบบสบายๆ เหนื่อยก็นอนพัก ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เริ่ดจะตายไป ไปถึงก็ไม่ต้องไปหาสวรรค์วิมานมากิน เช่นขึ้นดอย แต่จะแล๊กคาราเมลแม็คคิเอโต้ งี้  ขึ้นดอยก็ต้องกาแฟดอย ไม๊

     ปกติเวลาเค้าไปดอย เค้าจะมีเครื่องครัวของเค้า ไปครบมาก ขอบอก และ ขอบอกอีกที มีเมียคือการลงทุน ท่องจำไว้ อิอิ   ออกเดินทางต้องคำนวนระยะทาง และเวลาที่ใช้ ว่า จะถึงกี่โมง ต้องเผื่อเวลาสำหรับ  เช่น  เมียท้องแก่ ก็เข้าห้องน้ำบ่อย เข้าสะให้พอใจ ถ้าเข้าเส้นตากแล้ว ปั๊มหายากหน่อย ต้องออกจากบ้านเช้ามืดเผื่อเวลาเมียเข้าห้องน้ำ ลูกปวดอึ   แวะทานข้าว  ทำนองนี้ ไปถึงถ้าเลย 4 โมงไปแล้วก็ควรแวะนอนในเมืองก่อน อย่าดันทุรังขึ้นไป ทางกลางคืนเราไม่เชี่ยว  มืดมากกกขอบอก   ถ้าไปถึงสักบ่าย 2 - 3 ก็ แวะตลาดเย็น พอมีขายแล้ว ซื้อผัก เนื้อสัตว์ ไข่ ไป  เตรียมทำอาหาร    จริงๆคือจะบอกว่า การแพ๊คของสำหรับไปแค้มป์ปิ้งสำคัญนะ  เค้าเอง จะเตรียมหมด เครื่องปรุง ชุดเล็ก แพ๊คใส่กระปุกแยกไว้ ซิปล๊อคกันหก  ต้องเตรียมให้ครบ ถ้าขาดเหลือก็ไปซือ้เอาข้างหน้าได้ เพราะบางที บางอย่าง บางที่ บางดอยก็ไม่มีขาย  เช่น แรดจะทำอาหารวิจิตร โดยใช้วัตถุดิบตามดอย ก็ควรติดเครื่องปรุงวิลล่า ไปนิดนุง  ทำนองนี้เป็นต้น   แต่สำหรับ ผู้ที่ไม่ภิรมย์กับการทำอาหารก็ไปหาซื้อของกินขึ้นดอยจากตลาดต่างๆได้ มีหมดแหละตลาดนัดตอนเย็น ถ้าดอยที่มันดังๆอ่ะนะ ขับไปเจอแวะซื้อเลย จี๊ดดด ขอบอก    ส่วนการกางเต้นท์นะเหรอ สาสิ สาจัดการ แบ่งหน้าทีกันไป ช่วยๆกัน 
  
      การจัดทริปสำหรับไปแค้มป์ปิ้ง ก็ควรจะมีเวลามากกว่า 5 วันนะ ถ้าสบายๆ ปกติเค้าไป 8-14 วัน  ไปได้เท่าไหร่ก็ลองจัดเวลาดู  การไปกางเต้นท์ 1 ที ควรมีเวลาสัก 2 วัน ไม่ใช่ที่ ละ 1 วัน มันเหนือ่ยเกินไปสำหรับ คนมีลูกที่จะหอบลูกวิ่งไปวิ่งมากางแล้วเก็บ เก็บแล้วกาง  หาเวลาพักผ่อนนั่งนิ่งดูพระอาทิตย์ขึ้น ตก ลมเย็นๆหมอกหรูๆ บนดอยกระแทกหน้าดีกว่า  การดื่มด่ำกับสิ่งที่พบ มันต้องใช้เวลา ไม่ใช่เที่ยวแบบฉาบฉวย รวยเซลฟี่  งี้ไม่จี๊ด  และขอเถอะ  จากใจ ผู้คร่ำหวอด  ชะนีผู้ใดไปดอย ขอความกรุณาอย่าใส่ส้นสูง  นุ่งกระโปรงสั้น กรีดอายไลน์เนอร์   บางทีเจอแบบ ใส่กระโปรงหนังค่ะ รองเท้าบูท คือมันเป็นดอย ที่มีภูเขา ต้นไม้ สายหมอก น้ำค้างงี้   ไม่ใช่สยาม  ปารีส  โตเกียว   แต่งตัวก็ต้องดูด้วยว่า ที่นี่ที่ใด 555  ตลกมากกก เห็นแล้วเอ่ออออ  ผีบ้านผีเรือนคงไม่ได้ทัก หรือกระซิบก่อนออกจากบ้านใช่ไม๊ถึงทำได้ขนาดเน้   รูปถ่ายออกมาจาได้ เออ ซึบซับกับคำว่า ธรรมชาติบนดอยที่น่ามอง   หากท่านอยากเจอ สามารถพบเห็นชะนีที่ไม่ฟังผีบ้านผีเรือน ได้ตามดอยต่างๆเช่น  อ่างขาง  ปางอุ๋ง เจอทุกปี ค้าาา ถ้าไปจ๊ะเอ๋เทศกาลนะ กลับบ้านเหอะ เข็ด  มาถึงก็เกาหลีแว๊กๆๆ  อินทนน์  ขนาด ขุนยวมทุ่งบัวตอง โน้นนนนางปีนขึ้นไปถึงข้างบนด้วยรองเท้าบูทถึงหัวเข่าคร้าา  555  ทำไปได้เนอะ  

วันนี้เราขี้เกียจเขียนแล้ว ต่อคราวหน้านะ จะมาบอกเรื่องของของใช้ที่ต้องเตรียม และจำเป็นมากๆ สำหรับการพาลูกน้อยหอยสังข์ขึ้นดอย   อย่าไปใช่ไม๊ล่ะ
 




.

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ออม

มีสลึง   พึงบรรจบ ให้ครบบาท


    สิ่งแย่ๆ ก็ไม่อยากให้เอาจากแม่ไป  ถึงได้พยายามให้รู้จักอดออม  มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง    ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ไม่เคยสักครั้งที่จะเห็นแม่ของแม่ ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย บ้านของแม่ไม่ได้ร่ำรวย เป็นชาวสวน แม่ก็เป็นช่างเย็บผ้า  ตอนเด็กๆ วันเสาร์อาทิตย์ ถ้าทำการบ้านเสร็จแล้ว (หมายถึงการบ้านที่มีต้องเสร็จในเย็นวันศุกร์ ) เช้า ก็เข้าสวนไปช่วย เก็บหญ้า ถอนหญ้า เล่นน้ำเก็บมะพร้าว เรื่อยๆเปื่อยไป  แม่ของแม่ เป็นช่างตัดเสื้อก็จริงแต่เป็นคนประหยัดอดออมมาก  เก็บเงินปลูกเล้าเป็ด ได้ตั้ง4 เล้า จากเงินเย็บผ้า  ตัวของแม่เองนั้น เป็นคนที่โดนก๋ง ตามใจมากตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก๋งก็ให้   
     มาเมื่อตอนช่วงที่ใกล้สอบเอ็นทราน  เพื่อนในห้องชวนไปเรียนพิเศษที่สยาม  แม่ก็ไปขอยาย  ยายบอกไปได้แต่ต้องหาเงินเองด้วย  นั้นหมายถึง ถุงอาหารเป็ดที่ฟาร์ม ยายยกให้แม่ทั้งหมด ไปพับเอา แล้วก๋งจะพาไปขายที่ร้านรับซื้อเก็บเงินไปจ่ายค่าเรียนพิเศษ  รับจ้างยายฉีดวัคซีนเป็ด จับเป็ด  เงินค่าเรียนพิเศษ ก็แพงแม่เรียนหลายวิชา  ซึ่งมองย้อนกลับไป ทำให้เสียใจที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนให้คุ้มกับเงินที่ก๋งกับยายอุตส่าห์ ทำงานหนัก  ทั้งหมดนี้ แม่เพียงอยากจะบอกให้เฌอกับฌานรู้ว่า  ยายเป็นคนที่รู้จักค่าของเงินมาก  ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย  แม่อยากให้เฌอกับฌาน ได้นิสัยดีๆแบบนี้จากคุณยาย  


       

     เฌอกับฌาน ได้เงินไป โรงเรียน ทุกวัน และน้อยครั้งมากที่จะเหลือกลับมา  ฌานนั้นเหลือกลับบ้านมาหยอดกระปุก บ่อยครั้งกว่าเฌอมากนัก  ฌานเป็นคนที่รู้จักซื้อ รู้จักเลือกของทาน เช่น จะซื้อแค่นม หรือโยเกริต์เท่านั้น ถ้าไม่หิวก็จะไม่ซื้ออะไรทาน แรก ให้เงินไป เพื่อนมาขอ สงสารเพื่อนก็ให้เงินเพื่อนไป  ต้องมาสอนว่า ให้เงินเพื่อนไม่ได้ ถ้าอยากให้ก็ให้ซื้อขนมแบ่งกันได้ ป๊าหาเงินมาเหนื่อย เราต้องรู้ ประหยัด หลังๆก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เฌอ ไม่ค่อยเหลือเงินกลับมาหยอดกระปุกเท่าไหร่ จนพอนับเงินในกระปุกที่รวมๆกับที่ ผู้ใหญ่ให้มา เฌอได้ 8พัน  ฌานได้1หมื่นนิดๆ   นั่นแหละเฌอถึงเริ่มเห็นว่าตัวเองใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย  

     เปิดเทอมนี้  แม่เองมีวิธีที่ดีกว่า และให้เลือก  เช่น เช้ามา ป๊าให้เงินพี่เฌอไป โรงเรียน 30 บาท ฌาน  20  บาท  พอทานข้าวเช้าเสร็จทานนม  จะถามเฌอฌานว่า  มีใครอยากฝากเงินบ้างไม๊ ฝากครึ่งนึงก็เอาไป ทานขนมที่รร. ครึ่งนึง มีกระปุกให้คนละใบ  เฌอบอกเฌอฝากก็ได้คะ ฝาก 15 บาท  ฌานไม่ฝาก  ก็ไม่เป็นไรเด่วสักพักเห็นเงินในกระปุกเจ๊ มีจำนวนมากขึ้นๆก็จะอยากมีบ้างเอง  พอเย็นลง ฌานเหลือเงินมา10 บาท บอกว่าฌานหยอดกระปุกบนห้องนอนฌานนะครับ  โอเคครับ วันที่สอง เฌอก็ฝากอีก แต่ตอนเย็นเราก็นั่งกดเครื่องคิดเลข ให้เฌอดูว่า  ถ้าเฌอฝากเงินวันละ15บาท ในหนึ่งสัปดาห์ จะมีเงินเท่าไหร่  1 เดือนเท่าไหร่ 1   ปีเท่าไหร่ คราวนี้เฌอนั่งมองและขอกดเอง และบอกว่า แม่คะ ถ้าหนึ่งปีเฌอมีเงินออมเยอะมากเลยนะคะ งั้นเฌอฝากทุกวัน แม่รึ ยิ้มในใจแล้ว  แต่ที่ยิ้มกว่าคือ  ฌานพูดว่า พรุ่งนี้นะเค้าจะฝากตังค์แม่ 10  บาท และพูดอีกว่า แม่ครับ ฌานเสียเปรียบพี่เฌอนะครับ พี่เฌอได้เงินไปรร.เยอะกว่าฌานอีก แม่ต้องให้เท่ากันสิครั้ง เราต้องยุติธรรม 55555   

     นอกจากนี้แล้ว  แม่ยังบังคับให้เฌอ เขียนบัญชีการใช้จ่ายเงินในทุกวันๆ  เฌอถามว่าทำไมต้องเขียนล่ะมาม๊า    บอกเฌอว่า  หากเราจดบันทึกค่าใช้จ่ายในแต่ละวันไว้  เราจะรู้ทันทีว่า  สิ่งที่เราใช้ไป มันจำเป็น หรือไม่  และสิ่งที่จ่ายไปคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายหรือเปล่า  เช่น เฌอมีดินสออยู่แล้ว แต่อยากได้ดินสอที่ สหกรณ์ขาย เฌอเอาเงิน 20 บาทไปซื้อดินสอ แทนที่จะซื้อนม12  บาทและเหลือเก็บอีก8  บาท พอจดไว้ เฌอจะรู้ว่า เอ นี่เราไม่ควรซื้อเพราะว่าเรามีอยู่แล้ว  มันเป็นแค่ความอยากได้แต่ไม่จำเป็น  

      เมื่อก่อน และเมื่อไม่นานมานี้  เราเองเป็นคนอยากได้อะไรก็ซื้อ อยากกินอะไรก็กิน ไม่สนใจว่าจะแพงแค่ไหน จะเอาก็ต้องได้  และเป็นมาตลอด  จนเริ่มบอกกับตัวเองว่า ไม่อยากให้ลูกเห็นนิสัยการใช้เงินแบบนี้และเลียนแบบ  เลยหยุด เวลาอยากได้อะไรก็ต้องกลับมาทบทวนอีกก่อนว่าอยากได้จริงหรือเปล่า มันจำเป็นมาไม๊ รอลดราคาเด่วค่อยซื้อก็ได้ จนบางทีก็เดินกลับไปใหม่ก็ไม่ได้อยากได้แล้ว   กาแฟแก้วละ125บาท ขนมเค้กชิ้นละ120บาท  ซึ่งที่บ้านก็มีเครื่องชงกาแฟ  มีชาดีๆมากๆ  มีเตาอบ มีเครื่องตีแป้ง มีทุกอย่าง อยากกินก็ทำ เอา ซื้อทำไมก็ไม่ได้อร่อยไปกว่าเราทำเองสักหน่อย  กาแฟทำกินเอง ก็อร่อยกว่ามาก เสียเงินไปเรียนมาตั้งแพง ซื้อเค้าทำไม กินแล้วก็ลงเฟสบุคส์เพื่ออะไร  เออ การทบทวนจิตก็ดีตรงนี้ 



      เสือ้ผ้าลูกก็ซื้อทีเป็นหมื่นๆ ใส่แต่ของแพงๆ พอไปเหนือคราวที่แล้วซื้อผ้าพื้นเมืองให้เฌอฌานใส่ และ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วไปเที่ยวก็เอามาให้ใส่อีก ลูกบอกว่า ผ้าแบบนี้หนูชอบมากค่ะ ใส่สบาย  สมแล้วที่เป็นหลานช่างตัดเสื้อ รู้จักเลือกเนื้อผ้าที่ใส่สบาย  ตัวละ180 บาท  ส่วนของฌานนี้ ป้าเก่งให้มา ฌานชอบมากใส่สบายมาก  



อยากจะให้ลูกดี ........ก็ต้องดีให้ลูกมอง

   
         หวังว่าเราจะเดินหอบความตั้งใจ ในการเลี้ยงเฌอฌานไปได้    และไม่ได้ขออะไรเลย ในโลกนี้ ขอเพียงลูกเป็นคนดีก็พอ  เก่งแล้วเป็นคนไม่ดีก็ไม่มีค่า  คนธรรมดาแต่เป็นคนดี  รู้ว่าความสุขที่แท้จริงของ
ตัวเองคืออะไร มีแค่พอ ก็พอแล้ว    ทางเดินของความเป็นแม่คนยังอีกยาวไกล  

คิดบ่อยนะว่า แม่ทนเลี้ยงหนูมาได้ไง ดื้อขนาดนี้ 55555  




แอบยิ้มทุกครั้งที่เฌอฌานบอกว่า  กับข้าวที่แม่ทำอร่อย

แอบดีใจเสมอเวลาทำอะไรเล็กๆน้อยๆให้ลูกแล้วตาลูกยิ้มชอบใจ

แอบเสียใจเสมอ ที่หลายครั้งที่สติหลุดลอย  กลายเป็นคนบ้าให้ลูกเห็น  

วันเสาร์ที่ผ่านมา สัญญากับเฌอฌานที่ทุ่งแสลงหลวงแล้วว่า  แม่จะไม่พูดเสียงดังใส่   ฌานตอบกลับมาว่า  บางทีแม่ก็เป็นนางยักษ์เลย ฌานเห็น   55555  หมาน้อยเอ้ยย









  

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

Thai-Style Pork Salad



      ช่วงนี้ น้ำหนักขึ้นเยอะมาก จนทำให้มีปัญหาในเรื่องของการนอน กรน  เมื่อก่อนทานอะไรก็ไม่มีทางอ้วน แต่พออายุเริ่มมากขึ้น การเผาผลาญ และระบบบย่อย ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน   ทานอะไรไปก็อ้วน และยิ่ง เป็นคนตามใจปากด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่


    
    

     เราเป็นคนชอบทานขนมหวานมาก เป็นพวกขนมไทย และชอบทานข้าว ถ้าไม่ได้ทานข้าว หรืออาหารจำพวกแป้ง  จะรู้สึกไม่อิ่ม ไม่สดชื่น จริงๆแล้วทานได้นะ แต่ต้องจำกัดปริมาณ เท่านั้นเอง    เมื่อสมัยคลอดเฌอใหม่ๆ กิต ช่วยดูแลเรื่องอาหาร ในแต่ละมื้อ กู๋กิตเรียน Food Science มานั่นคือเหตุผลที่ทำเธอมีความรู้เรื่องอาหารมาก และควรเชื่อเธอ  เค้าจะบอกว่า           เราควรทานอะไรในปริมาณแค่ไหน และควรหลีกเลี่ยงอะไร เฌอฌานโชคดีมากที่มีกู๋คอยดูแลเรื่องอาหาร










                                                               Thai-Style Pork Salad


จานนี้เริ่มด้วยที่เบื่อน้ำสลัดแบบฝรั่ง  เลยเอาน้ำยำมาราด อืม อร่อย


วิธีทำ

เนื้อหมูสันนอก    ที่มีในตู้เย็น นำมาหั่น เป็นชิ้นๆ เลี่ยงมันหมู เอาแต่ช่วงเนื้อ ใช้สันนอก สัก 8 ชิ้น
เกลือทะเล
พริกไทย
น้ำตาลนิดนึงนิดเดียว
น้ำมันมะกอก  1/2 ชช

กุ้งเผา หรือกุ้งลวก (พอดีมีอยู่แล้วเลยใส่ลงไปเสียดายของ)

น้ำยำ / น้ำจิ้มซีฟู๊ดก็ได้

พริกขี้หนูสวน  เม็ดเล็กๆ หอมมมม สัก 5 เม็ด (ถ้าชอบมากก็ใส่อีก)
กระเทียม
มะนาว 
เกลือสมุทร ถ้าใช่ไอโอดีนมันจะเค็มแหลมไป
นำ้ตาลนิดนึง
น้ำเปล่า

โขลก หรือปั่นก็ได้ให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบใจ

ผักสลัด อะไรก็ได้ แต่ต้องกรอบๆ แช่เย็นๆ พอดีเมื่อวันก่อน แม่ออมให้ต้นอ่อนทานตะวันมาเลยใส่ไปด้วย กรอบเชียว เด่วจะลองปลูกดูบ้าง

วิธีทำ


ใช้กะทะเทปลอน ตั้งให้ร้อนในน้ำมัน  เอาหมูลงไป แค่นี้พอหมูสุกก็พักให้เย็นนิดนึง  วางลงไปบนผัก ราดน้ำยำคลุกไปมา 

ทานกับน้ำซุปไข่  ช่วยให้ไม่เผ็ดมากนัก อิอิ

ซุปไข่ทำง่าย


ตั้งน้ำให้เดือด ใส่เกลือ น้ำตาล พริกไทย ผงขิง นิดนึง หอมใหญ่ แครอท  พอเดือดพร่าน ก็ใส่ไข่ทีตีไว้ลงไป   (จริงๆไข่นี้เหลือจากที่ทำข้าวหน้าหมูชุบเกล็ดขนมปังให้เด็กเมื่อเช้า เหลือหน่อยนึงเลยเสียดายเอามาทำซุปไข่ทาน) โรยต้นหอม  แค่นี้ง่ายมาก


ลองทำทานดู มันไม่ได้ยากหรอก ขี้เกียจทำน้ำยำ ก็ไปซื้อสำเร็จมาก็ได้ แต่เราเบื่อน้ำสลัดแบบฝรั่ง 



  















วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การแต่งงานก็เหมือนซื้อหวย

   ผู้ใหญ่หลายคนเคยบอกไว้ว่า "การแต่งงานก็เหมือนซื้อหวย."  

แต่งงานกันมันง่าย แต่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่ามมันยาก




 ก็คงจริง เห็นมาหลายคู่. ดีมาตลอด อยู่ ๆก็เป็นอื่น   อันที่จริงแล้ว ตัวเราคิดว่า การแต่งงาน มันคือ ความพยายามที่จะปรับตัว พฤติกรรม ความคิด และจิตใจเข้าหากัน. เสียสละ แบ่งปัน เอื้อเฟื้อกันในทุกๆด้าน.

  
 

    สำหรับคู่ที่ดีต่อกันในช่วงเวลาจีบกันใหม่ เป็นแฟนกันไปในระยะหนึ่ง เชื่อเหอะ ร้อยทั้งร้อย ใช้ด้านที่ดีที่สุดของตัวเอง เข้าหาคนที่เรารัก (คงไม่มีใคร หรือมีก็น้อยคนมาก) ที่จีบกันใหม่ๆ นั่งแคะขี้มูก. แคะฟัน วีนแตก ให้คนเป็นแฟนชม 555 ถ้าทำแบบนั้น รับรอง ผู้ชายหายหัว 555555555  แบบนั้น เราว่าผิด




 
    ในคู่ชีวิตอื่นๆ เราเองก็ไม่ทราบว่าเค้ามีวิธีอย่างไรในการดูแลความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ให้ยาวๆ  การตัดสิน หรือชี้ชัดถึงหลักการในการครองเรือน  ที่ตายตัวเลย  เราว่าคงยาก เพราะปัญหา ในแต่ละครอบครัว คงไม่เหมือนกัน ทั้ง ความคิด และ วิถี  หรืออาจจะคล้ายๆก็ต้องลองปรับใช้ให้เข้ากันเอง  

เส้นทางหลักๆของการใช้ชีวิตคู่ให้ยาวๆ นานๆๆ คือ การไม่คาดหวัง  เราว่า การคาดหวังคือสิ่งที่นำมาซึ่งปัญหาในการใช้ชีวิตคู่

 หวังว่าเค้าจะ ....

ฝันไว้ว่าเค้าคือ...

อีกหน่อยเค้าคง ...

การคาดหวัง  ในตัวสามี ว่าเค้าจะเป็นในแบบที่หวังไว้  ซึ่งในบางกรณี ความคาดหวัง ไม่ได้ใกล้ติดขอบในแบบวิถีที่เค้าเป็น   การฝืน เค้าไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแน่ ในชีวิตคู่  ในทางกลับกัน สามีอาจจะคาดหวังในตัวเราสูง  จะเป็นแบบในทางที่เค้าฝัน   นั่นคือ ต่างคนต่างก็หลอกตัวเองนะ ว่า มันจะเป็น จะใช่ จะได้ และจะมี


   ทางที่เราคิดมาตลอด และทำมาตั้งแต่พบกันครั้งแรกคือ  ต้องรับได้ในความที่เราเป็นเรา เราเป็นแบบนี้ ไม่มีการสร้างภาพสวยๆที่ไม่ใช่ตัวเอง  ให้เค้าได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงๆในแบบวิถีของเรา  การสร้างตัวตนคนอื่นในแบบที่ คิดว่าเค้าคงชอบ และไม่ใช่ตัวตนของเราให้เค้าเห็น คือ  สิ่งผิด  เพราะถ้าเค้ารัก เค้าก็คงรัก เปลือกที่มองเห็น แต่ไม่ได้รัก ไม่ได้สัมผัส ที่เราเป็นเราจริงๆ  คนเรา แสดง ไปไม่ได้นานหรอก สักพัก วิถีของตัวเองก็จะค่อยๆออกมาทีละนิดทีละหน่อย จนกลายเป็น  สิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็นนี่นา  นั่นแหละ ความไม่เข้าใจกันก็จะเกิดขึ้น    ให้ใจเค้า เค้าก็จะให้ใจเรา

     

 
     ความเข้าใจ เชื่อใจ ให้เกียรติกัน  ก็เป็นสิ่งสำคัญ มาก มาก  คุณรู้หรือไม่ว่า ความเชื่อใจของคนเรา สำหรับคนหนึ่งคน เรามี100% แค่ครั้งเดียว และเมื่อ คนนั้นได้ทำให้ความเชื่อใจที่มี ลดลงไป ครั้งแรกมันมาพร้อมกันหลายๆอย่างนะ  เสียใจล่ะ1 ไม่แน่ใจ และระวังใจ  ความเชื่อใจนี้เมื่อมันลดลงไปแล้ว ไม่มีใครตอบได้หรอกว่าเมื่อไหร่มันจะกลับมา  และ หรือ  เมื่อมันกลับมา ก็ไม่มีทางที่เท่าเดิมได้ เพราะช่องว่างนั้น มันจะมี ความระแวง เข้ามาแทนที่ กล่าวคือ  เมื่อคุณได้รับความเชื่อใจจากใคร  หมายถึง ความรักที่เค้ามีให้คุณ  อยากให้คุณซื่อสัตย์ และเห็นค่ากับสิ่งที่ได้รับมา เพราะว่าเมื่อมันลดลงแล้ว มันไม่มีทางจะกลับมาเท่าเดิมอีกแน่นอน

     ในการครองชีวิตคู่   มันเหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้ทุกอย่างในความเป็นตัวตนของคุณ มาพัฒนา ปรุง ปรับ และเปลี่ยน ในทางที่เราเองก็รับได้ เค้าเองก็รับได้ และเมื่อ สารสองอย่างที่ปรุงแล้ว เข้ากันได้มันจะมีที่มาคือความสุข  แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ ก็อยากให้ทำใจ  เป็นเพื่อนกันได้

     อยากให้คิดเสียว่า ของอะไร ถ้าเป็นของเราแล้ว จะยังไงก็แล้วแต่ มันก็ต้องเป็นของเรา  ถ้าไม่ใช่ของเรา ต่อให้สู้รบ ยังไง เราก็ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง

     แต่ในสังคมปัจจุบัน ตัวแปรภายนอกมากมายที่ทำให้ครอบครัวสั่นครอน  การห่างกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด  ถ้าไมมั่นคง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ มันก็ยากที่จะประคับประครองชีวิตคู่ให้ยาวๆไปได้   แม่เคยบอกว่า  สามีเมื่อเดินออกจากบ้านเราไปก็เป็นคนอื่น  อยู่ที่ตัวของเรา จะทำให้เค้ารู้สึกว่า เค้าไม่ได้เป็นคนอื่น หรือเปล่า   การปรับEQ เพื่อรับมือ สภาพภายนอกที่มีผลต่อการครองเรือน นี่สำคัญมาก  การพูดคุยกันสำคัญ  บทสนทนา ต้องปรับให้เข้าทิศเข้าทาง และมีแง่คิดที่บอกกล่าวให้ทราบ ว่า เราคิดยังไง และคุณควรทำอย่างไร มากกกว่า การงอนกัน เงียบไม่พูดจา  เพราะถ้าเราไม่พูด เค้าจะรู้ได้อย่างไร อย่าคิดว่า เค้าจะต้องรู้สิว่า เราคิดอะไรอยู่ บางทีคนคิดยังไม่รู้เลยว่าที่คิดน่ะมันถูกหรือผิด  พูดคุย บอกกล่าวกันดีกว่า จะคอยให้อีกฝ่ายมาเดาใจ








    หากาวมาเชื่อมครอบครัวให้ได้ และเมื่อใด ที่คุณชี้ไม้แล้วเป็นนก  เมื่อนั้น สามีจะไม่ไปเป็นอื่น


                                                           ...รักมีอยู่จริง...